top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนT P

ฺBrief history of CSR Thought พัฒนาการ แนวคิด และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อสังคม

Brief history of CSR Thought หมายถึงพัฒนาการ แนวคิด และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง กับความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility - CSR) ขององค์กร
โดย ดร.วรวุฒิ ไชยศร STRATEGIC CSRM COACH (Corporate Sustainability & Social Responsibility Management : CSRM & ESG PROFESSIONAL )

ซึ่งประกอบด้วยแนวคิดและกิจกรรมสำคัญต่างๆ เช่น

  • การเริ่มต้นโครงการ CSR ครั้งแรกขององค์กร

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้าน CSR to ESG

  • การเปิดตัวกิจกรรมหรือโครงการใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับ CSR & ESG

  • เกณฑ์รางวัลหรือการรับรองด้าน CSR & ESG

  • การประเมินผลกระทบ ผลลัพธ์ทางสังคม( Social Impact) ของกิจกรรม CSR


Brief history of CSR Thought สามารถช่วยให้ผู้ที่สนใจเห็นภาพรวมของการพัฒนาขององค์กรในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ทำให้เข้าใจแนวคิดหรือจุดยืน ขององค์กรในการนำเสนอรื่องนี้ไปทำเป็นนโยบายได้อย่างชัดเจน โดยแนวคิดนี้เริ่มจาก


 1759: Adam Smith’s The Theory of Moral Sentiments เป็นปีที่หนังสือ The Theory of Moral Sentiments ของ Adam Smith ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรก

ในหนังสือเล่มนี้ Smith ได้วางรากฐานของปรัชญาทางจริยธรรมและจิตวิทยาทางศีลธรรม โดยอธิบายถึงวิธีที่มนุษย์มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความยุติธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเข้าใจพฤติกรรมและการตัดสินใจทางศีลธรรม


หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานสำคัญที่แสดงถึงความเข้าใจเกี่ยวกับจริยธรรมและการมีส่วนร่วมในสังคมของ Smith ก่อนที่เขาจะเขียน The Wealth of Nations ซึ่งเป็นงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาในด้านเศรษฐศาสตร์

 "1913: Industrial Welfare Commission" มีการก่อตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลสภาพการทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อมการทำงานและปกป้องสิทธิของแรงงาน ในสหรัฐอเมริกา Industrial Welfare Commission ของรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นตัวอย่างที่ดี ก่อตั้งขึ้นในปี 1913 เพื่อตั้งมาตรฐานด้านค่าจ้าง ชั่วโมงการทำงาน และสภาพการทำงานสำหรับแรงงานหญิงและเด็ก ต่อมา ขอบเขตของ การดำเนินงานได้ขยายไปถึงแรงงานทุกคน มุ่งมั่นเพื่อความเป็นธรรมและความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน


การก่อตั้ง Industrial Welfare Commission เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนากฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานในอุตสาหกรรม.


 "1940: Elton Mayo’s Hawthorne study" มีการวิจัยที่สำคัญในด้านจิตวิทยาองค์กรและพฤติกรรมองค์กรที่ดำเนินการโดย Elton Mayo และทีมงานของเขา ที่โรงงาน Hawthorne ของ Western Electric ในเมือง Cicero รัฐอิลลินอยส์ การศึกษานี้เริ่มต้นในช่วงทศวรรษ 1920 และสิ้นสุดในช่วงต้นทศวรรษ 1930 แต่ผลลัพธ์และการวิเคราะห์ของการศึกษานี้ได้รับการเผยแพร่และมีอิทธิพลมากขึ้นในช่วงปี 1940 การศึกษาครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในชื่อ "Hawthorne Effect" ซึ่งเป็นการค้นพบว่าพฤติกรรมของผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะพวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังถูกสังเกต การศึกษาเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยาในการทำงาน และได้เปลี่ยนมุมมองของนักวิจัยและนักปฏิบัติในด้านการจัดการและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ผลลัพธ์สำคัญของการศึกษานี้รวมถึงการยืนยันว่าความสัมพันธ์ทางสังคม การยอมรับและการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน และความรู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วมในที่ทำงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการทำงาน.


 "1953: Social Responsibilities of the Businessman” โดย Howard Bowen" คือหนังสือที่เขียนโดย Howard R. Bowen ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1953 หนังสือเล่มนี้มักถูกยกย่องว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการอภิปรายอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate Social Responsibility หรือ CSR)


ในหนังสือเล่มนี้ Bowen ได้นำเสนอแนวคิดว่า นักธุรกิจและบริษัทต่างๆ ควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าการแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว โดยเขาเสนอว่าธุรกิจควรพิจารณาผลกระทบที่การตัดสินใจของพวกเขามีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย รวมถึงพนักงาน ผู้บริโภค ชุมชน และสิ่งแวดล้อม Bowen ได้เสนอกรอบแนวคิดที่สำคัญที่ว่า บริษัทต่างๆ ควรปฏิบัติตามหลักการทางจริยธรรมและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งแนวคิดนี้ได้วางรากฐานสำหรับการพัฒนาและการยอมรับ CSR ในทศวรรษต่อมา โดย Howard Bowen ได้ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของวงการ CSR

 "1970: Milton Friedman" คือบทความที่มีอิทธิพลอย่างมากของ Milton Friedman ซึ่งตีพิมพ์ใน The New York Times Magazine เมื่อวันที่ 13 กันยายน 1970 ชื่อบทความคือ "The Social esponsibility of Business is to Increase its Profits" ในบทความนี้ Friedman ได้เสนอแนวคิดที่ว่า หน้าที่หลักและหน้าที่เดียวของธุรกิจคือการเพิ่มกำไรให้กับผู้ถือหุ้นภายในกรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่กำหนด

Friedman ได้แย้งว่า การที่บริษัทจะมี "ความรับผิดชอบต่อสังคม" ที่เหนือกว่าการสร้างกำไรนั้นเป็นการเบี่ยงเบนจากบทบาทหลักของธุรกิจ และอาจเป็นอันตรายต่อประสิทธิภาพและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เขาเชื่อว่าเมื่อธุรกิจมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มกำไร มันจะสร้างคุณค่าสูงสุดและส่งผลดีต่อสังคมในที่สุดผ่านการลงทุน การจ้างงาน และการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ แนวคิดของ Friedman ได้รับการถกเถียงอย่างกว้างขวาง และเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนาที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับบทบาทของธุรกิจในสังคม และความสมดุลระหว่างการแสวงหากำไรและความรับผิดชอบต่อสังคม


 "1971: CED Social Responsibilities of Business Corporations" มีการเผยแพร่รายงานสำคัญที่จัดทำโดย Committee for Economic Development (CED) ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในรายงานนี้ CED ได้ขยายขอบเขตของแนวคิดเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) รายงานนี้นำเสนอกรอบแนวคิดที่เรียกว่า "The Social Responsibilities of Business Corporations" โดยเน้นว่าธุรกิจไม่เพียงแต่มีหน้าที่ในการสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้นเท่านั้น แต่ยังมีความรับผิดชอบต่อสังคมในวงกว้างอีกด้วย รายงานของ CED เสนอว่านอกเหนือจากการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว บริษัทควรมีบทบาทเชิงรุกในการปรับปรุงสังคมและสภาพแวดล้อมโดยรอบ

หลักการที่สำคัญของรายงานนี้ได้แก่:

- การสร้างสมดุลระหว่างการแสวงหากำไรและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม

- การรับผิดชอบต่อผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของกิจกรรมทางธุรกิจ

- การส่งเสริมการปฏิบัติที่เป็นธรรมและยุติธรรมในที่ทำงานและชุมชน


รายงานของ CED ในปี 1971 เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นในยุค 1970 ที่เน้นการยอมรับว่าองค์กรธุรกิจมีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 "1979: Archie Carroll’s Pyramid" มีการแนะนำโมเดล "Carroll’s Pyramid of Corporate Social Responsibility" โดย Dr. Archie B. Carroll ซึ่งได้เสนอแนวคิดที่สำคัญในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR)


ในบทความปี 1979 ของเขา Carroll ได้นำเสนอพีระมิดที่แสดงถึงความรับผิดชอบขององค์กรในสี่ระดับ:

  1. Economic Responsibilities (ความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ) เป็นฐานของพีระมิด ธุรกิจมีหน้าที่สร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้นและเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของสังคม

  2. Legal Responsibilities (ความรับผิดชอบทางกฎหมาย):ธุรกิจต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่บังคับใช้ ถือเป็นกฎเกณฑ์พื้นฐานของการดำเนินธุรกิจ

  3. Ethical Responsibilities (ความรับผิดชอบทางจริยธรรม): ธุรกิจควรดำเนินการด้วยความยุติธรรมและมีคุณธรรม แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายบังคับก็ตาม โดยยึดถือหลักการทางจริยธรรมในการตัดสินใจ

  4. Philanthropic Responsibilities (ความรับผิดชอบต่อสังคม):เป็นส่วนยอดของพีระมิด ธุรกิจควรมีส่วนร่วมในการปรับปรุงสังคมผ่านการบริจาคและการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน


โมเดลนี้ได้กลายเป็นกรอบแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการศึกษาและปฏิบัติด้าน CSR โดยช่วยให้ธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เข้าใจและนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการดำเนินงานต่อยอด เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือ ESG นั่นเอง


 "1984: Edward Freeman’s Stakeholder Theory" คือ ทฤษฎีผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Theory) ที่นำเสนอโดย Dr. Edward Freeman ในหนังสือชื่อ Strategic Management: A Stakeholder Approach ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1984




ดู 3 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page